ประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์ที่คุณไม่รู้มาก่อน❗
ประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์ที่คุณไม่รู้มาก่อน❗
คอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นผลมาจยากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือในการคำนวณซึ่งมีวิวัฒนาการนานมาแล้ว เริ่มจากเครื่องมือในการคำนวณเครื่องแรกคือ "ลูกคิด" (Abacus) ที่สร้างขึ้นในประเทศจีน เมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปีมาแล้ว
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2376 นักคณิตศาสต์ชาวอังกฤษ ชื่อ ชาร์ล แบบเบจ (Charles Babbage) ได้ประดิษฐ์เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) สามารถคำนวณค่าของตรีโกณมิติ ฟังก์ชั่นต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ การทำงานของเครื่องนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนเก็บข้อมูล ส่วนคำนวณ และส่วนควบคุม ใช้ระบบพลังเครื่องยนต์ไอน้ำหมุนฟันเฟือง มีข้อมูลอยู่ในบัตรเจาะรู คำนวณได้โดยอัตโนมัติ และเก็บข้อมูลในหน่วยความจำ ก่อนจะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ หลักการของแบบเบจนี้เองที่ได้นำมาพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เราจึงยกย่องให้แบบเบจเป็น บิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์ วันนี้จะพาไปทำความรู้จักกับระบบทั้ง 11 ของคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งถึงในปัจจุบันนี้กันดังนี้
📍องค์ประกอบของระบบปัญญาประดิษฐ์
ประกอบด้วย 4 หัวข้อ ได้แก่
1. ระบบหุ่นยนต์ หรือแขนกล (Robotics or Robotarmystem)
หุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ที่ควบคุมการทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ มีจุดประสงค์เพื่อให้ทำงานแทนมนุษย์ในงานที่ต้องการความเร็ว หรือเสี่ยงอันตราย เช่น แขนกลในโรงงานอุตสาหกรรม หรือหุ่นยนต์กู้ระเบิด เป็นต้น
2. ระบบประมวลภาษาพูด (Natural Language Processing System)
การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถสังเคราะห์เสียงที่มีอยู่ในธรรมชาติ (Synthesize) เพื่อสื่อความหมายกับมนุษย์ เช่น เครื่องคิดเลขพูดได้ (Talking Calculator) หรือนาฬิกาปลุกพูดได้ (Talking Clock) เป็นต้น
3. การรู้จำเสียงพูด (Speech Recognition System)
การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์เข้าใจภาษามนุษย์ และสามารถจดจำคำพูดของมนุษย์ได้อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือเป็นการพัฒนาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้ด้วยภาษาพูด เช่น งานระบบรักษาความปลอดภัย งานพิมพ์เอกสารสำหรับผู้พิการ เป็นต้น
4. ระบบผการพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์
มีความรู้ รู้จักใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ปัญหา โดยใช้ความรู้ที่มี หรือจากประสบการณ์ในการแก้ปัญหาหนึ่ง ไปแก้ไขปัญหาอื่นอย่างมีเหตุผล ระบบนี้จำเป็นต้องอาศัยฐานข้อมูล (Database) ซึ่งมนุษย์ผู้มีความรู้ความสามารถเป็นผู้กำหนดองค์ความรู้ไว้ในฐานข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ได้จากฐานความรู้นั้น เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์วิเคราะห์โรค หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ทำนายโชคชะตา เป็นต้น
📍ระบบคอมพิวเตอร์
1. Multitasking ระบบแบ่งเวลา หรือ Time – sharing
เป็นระบบที่พัฒนามาเพื่อขยายการทำงานของระบบ multiprogramming ซึ่งจะทำให้คอมพิวเตอร์สามารถสลับงานของผู้ใช้หลายๆ คนเข้าสู่ CPU ด้วยความเร็วสูง จนทำให้ผู้ที่กำลังใช้อยู่รู้สึกได้ว่าเหมือนใช้ CPU อยู่คนเดียวนั่นเอง
2. Real – time system
ระบบเรียลไทม์นี้มีประโยชน์กับระบบปฏิบัติการที่ต้องการใช้เวลาจริงๆ เช่น ระบบเช็นเซอร์ที่ใช้ส่งให้กับคอมพิวเตอร์ในการทำงานด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์ หรือเป็นการใช้งานในระบบของทางการแพทย์ การควบคุมการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม หรือการใช้งานในระบบยานยนต์เกี่ยวกับระบบหัวฉีดต่างๆ ครอบคลุมไปถึงระบบการยิง ระบบแขนกลพร้อมทั้งเครื่องใช้ในครัวเรือน ซึ่งระบบนี้จะมีการทำงานอยู่ 2 ระบบ โดยทางระบบจะถูกโปรแกรมเอาไว้ว่าต้องใช้งานระบบไหนก่อน
3. Personal Computer System หรือเรียกง่ายๆ ว่าระบบคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
หลังจากเป็นยุคที่ต้องผ่านการพัฒนาในเรื่องของระบบการปฏิบัติการต่างๆ คอมพิวเตอร์ก็ถูกปรับเปลี่ยนบทบาทมาเป็นอีกหนึ่งบทบาทนั่นก็คือการใช้งานภายในบ้าน เพราะคอมพิวเตอร์โดยส่วนมากจะต้องใช้ในเรื่องของการทำธุรกิจ และหากใครต้องมีคอมพิวเตอร์สักเครื่องนั้นก็ต้องใช้เงินค่อนข้างมากเลยทีเดียว แต่เมื่อมีการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาในเรื่องของอุปกรณ์ที่มีการแข่งขันกันอย่างมากในแวดวงของคอมพิวเตอร์ และการพัฒนาระบบให้สามารถใช้งานได้ง่ายมากขึ้น และคอมพิวเตอร์ในระบบนี้ไม่ได้มีแค่เครื่อง PC ที่ต้องตั้งอยู่กับที่เท่านั้น เหล่านักพัฒนาก็ได้ทำการให้คอมพิวเตอร์สามารถพกพาไปทำงานที่อื่นได้จนเกิดมาเป็นคอมพิวเตอร์วางตัก หรือ Notebook นั่นเอง จวบจนกระทั่งพัฒนามาจนเป็นระบบที่สามารถใช้งานกับมือถือได้ ทำให้มือถือกลายเป็นเสมือนคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง — หากคุณกำลังมองหา บริษัทรับดูแลระบบคอมพิวเตอร์ สำหรับบริษัท องค์กร สามารถติดต่อ วันบีลีฟจำกัดได้เลย
4. Virtual machine
ระบบแบบนี้หากพูดขึ้นมาลอยๆ อาจมีคนไม่เข้าใจหรือไม่รู้จักค่อนข้างมาก แต่หากเปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มวัยรุ่นนั่นเอง ซึ่งจะเป็นการใช้เทคโนโลยี Virtual machine เข้ามามีบทบาทในการทำงาน
5. Multiprocessor system
Multiprocessing เป็นการทำงานโดยการใช้ CPU ไม่น้อยกว่าหนึ่งตัวเพื่อให้เข้ามาช่วยเหลือกันจะได้ทำให้คอมพิวเตอร์นั้นสามารถรับคำสั่งได้ครั้งละหลายคำสั่งในขณะที่ใช้งานอยู่ และหากเกิดการเสียของ CPU ก็ยังมีการทำงานแทนกันจาก CPU ตัวอื่นได้อยู่ โดยจะใช้หน่วยในการประมวลผลมากกว่าหนึ่งเครื่องนั่นเอง
6. Distributed system หรือระบบกระจาย
หากบอกว่าระบบกระจายอาจจะงงกันได้แต่หากบอกว่าเป็นระบบเครือข่ายหลายๆ คนคงเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น โดยระบบที่หลายๆ คนรู้จักเป็นอย่างดีนั่นก็คือ Windows linux unix mac ทุกคนคงจะรู้จักระบบเหล่านี้กันเป็นอย่างดีเพราะได้มีการใช้จริงและใช้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว
7. Non operating system หรือระบบการทำงานแบบยังไม่มีระบบปฏิบัติการ
ในยุคแรกของการผลิตคอมพิวเตอร์นั้นยังไม่ได้มีการพัฒนาให้เป็นระบบเหมือนปัจจุบัน ดังนั้นคอมพิวเตอร์จะเหมือนกล่องเปล่าๆ ที่ไม่มีอะไรเลย หากต้องการให้คอมพิวเตอร์ทำงานอะไรก็แล้วแต่ ต้องมีคนคอยเขียนโปรแกรมสั่งงานและต้องมีการตรวจสอบพร้อมกับป้อนข้อมูลไปพร้อมๆ กัน เรียกได้ว่าคอมพิวเตอร์เป็นเพียงอุปกรณ์อย่างหนึ่งไม่สามารถตัดสินใจอะไรเองได้ จึงทำให้การใช้งานจะอยู่กันในวงแคบๆ เท่านั้น
8. Batch system ระบบงานแบบแบ็ตซ์
หลังจากยุคของการป้อนคำสั่ง ระบบนี้จะเป็นการสั่งงานคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าระบบเดิม แต่การทำงานของระบบนั้นก็ไม่สามารถทำงานได้มาก เพราะระบบจะสามารถทำได้แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่มีหน้าที่ในการรวบรวมงานจะต้องเป็นคนที่รับงานจากนักพัฒนาโปรแกรม เพื่อที่จะทำการจัดระเบียบให้กับการใช้คำสั่งในคอมพิวเตอร์โดยจะทำการคัดแยกงานที่มีความคล้ายคลึงกัน ให้จัดเรียงไปตามความสำคัญและต้องเรียงให้ถูกต้องตามลักษณะของโปรแกรมอีกด้วย เมื่อทำการจัดกลุ่มจนเสร็จจึงค่อยส่งให้คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล
9. Bufferin system
ระบบนี้มีการเพิ่มความสามารถของระบบให้สามารถทำงานได้ดีขึ้น โดยสามารถรับและส่งข้อมูลได้พร้อมกัน หลังจากที่การทำงานของคอมพิวเตอร์ในยุคก่อนหน้านี้จะเป็นการรับข้อมูลในทางเดียว ทำให้นักพัฒนาสร้างระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถเก็บข้อมูลเข้าหน่วยความจำผิดจากยุคก่อนที่จะเป็นการส่งคำสั่งโดยตรงไปที่ CPU เลย ซึ่งจะทำให้เวลาที่ต้องทำการประมวลผลต่างๆ จะสามารถทำได้ทันทีและยังสามารถโหลดข้อมูลเข้าไปแทนที่ได้ในทันทีไม่ต้องรออีกด้วย
10. Spooling
ด้วย multiprogramming พื้นฐาน จึงทำให้ CPU ทำงานได้ดียิ่งขึ้น เพราะจะเป็นตัวกลางที่ทำให้สามารถทำงานได้พร้อมๆ กันทั้งสองงาน หนึ่งคือการประมวนผลซึ่งอยู่ในส่วนของ CPU และสองนั่นคือการรับส่งพร้อมแสดงผลข้อมูลนั่นเอง
11. Multiprogramming
เป็นระบบที่ทำให้การใช้งานของ CPU ได้ประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ด้วยการทำงานของระบบที่จะทำการโหลดข้อมูลไปไว้ที่หน่วยความจำหลักเสียก่อน และทำหน้าที่ประมวลผลในทันที ซึ่งระบบจะทำการเลือกงานเข้าไปประมวลผลได้เองโดยที่ไม่ต้องมานั่งใส่ข้อมูลให้เหนื่อย
-----------------------------------------------------------------------------------
สนใจบริการดูแลการตลาดออนไลน์ | ทำการตลาดออนไลน์ | ทำกราฟฟิคครบวงจร | สามารถติดต่อเราได้ตลอด | รับสร้างแบรนด์ | รับทำการตลาดออนไลน์ | รับทำแผนการตลาดออนไลน์ | รับสร้างแบรนด์ | รับดูแล Facebook แฟนเพจ | รับดูแล LINE OA สามารถติดต่อเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง
รายละเอียดบริการดูแลการตลาดออนไลน์
ตัวอย่าง ผลงานแบรนด์ต่างๆ ที่เราดูแลการตลาดออนไลน์ให้
------------------------------------------------------------------------------------
💙ปรึกษาทีมงานของเรา💙
📱Tel : 0840104252 📱0947805680
สายด่วนออฟฟิศ : 034-900-165 , 02-297-0811 (จันทร์-ศุกร์)
📨 Inbox : http://m.me/ChatStick.TH
┏━━━━━━━━━┓
📲 LINE: @chatstick
┗━━━━━━━━━┛
หรือคลิ๊ก https://goo.gl/KuzCpM
🎉รายละเอียดที่ http://www.chatstickmarket.com/langran
🎉ชมผลงานเราได้ที่ https://www.chatstickmarket.com/portfolio
Comentarios