top of page

มาสคอต: ไม่ใช่แค่ตัวการ์ตูน แต่คือหัวใจที่ทำให้แบรนด์คุณเป็นที่รัก!

  • รูปภาพนักเขียน: Choochai Thianthae
    Choochai Thianthae
  • 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา
  • ยาว 2 นาที
กลุ่มตัวการ์ตูนหลากหลายสีสันบนพื้นหลังสีน้ำเงิน มีข้อความภาษาไทยอยู่ตรงกลาง บรรยากาศสดใสและมีชีวิตชีวา

ใครว่ามาสคอตเป็นแค่ตัวการ์ตูน? นี่แหละหน้าตาของแบรนด์ยุคใหม่!

เคยสงสัยไหมว่าทำไมแบรนด์ดังๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศถึงชอบมี "มาสคอต" เป็นของตัวเอง? มองเผินๆ อาจจะคิดว่ามีไว้แค่ประดับบารมี หรือเอาไว้ให้ถ่ายรูปสวยๆ เท่านั้น แต่ถ้าลองพิจารณาให้ลึกลงไปอีกนิด จะพบว่ามาสคอตไม่ได้มีไว้แค่ถ่ายรูปสวยๆ นะจ๊ะ แต่มันคือ "หน้าตา" ที่มีชีวิต ชีวา และสื่อสารกับลูกค้าได้ลึกซึ้งกว่าที่คิดเยอะเลย!

มาสคอตเนี่ยก็คือตัวละครประจำแบรนด์ หรือสัญลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้มีบุคลิกนิสัย เป็นตัวแทนของแบรนด์เรานั่นแหละ ลองนึกภาพตามนะ การมีมาสคอตก็เหมือนกับการมีฑูตวัฒนธรรมประจำองค์กร ที่คอยทำหน้าที่สร้างความเข้าใจอันดีกับผู้บริโภค ช่วยให้คนจำแบรนด์ได้ง่ายขึ้น สร้างความรู้สึกดีๆ ผูกพัน เหมือนมีเพื่อนคนนึงเลย แถมยังเล่าเรื่องราวหรือคุณค่าของแบรนด์ให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกด้วย ยิ่งในยุคที่การแข่งขันสูงลิ่ว การสร้างความแตกต่างจึงเป็นหัวใจสำคัญ และมาสคอตนี่แหละคืออาวุธลับที่หลายแบรนด์เลือกใช้


1. ย้อนรอยต้นกำเนิดมาสคอต: จากเครื่องรางนำโชคสู่ซุป'ตาร์แบรนด์!

จุดเริ่มต้นที่ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ: มาสคอตไม่ได้เพิ่งมาฮิตนะจ๊ะ! ย้อนไปไกลถึงศตวรรษที่ 19 ฝรั่งเศสเขาก็มีคำว่า "Mascotte" ที่แปลว่า "เครื่องรางนำโชค" กันแล้วล่ะ! เริ่มแรกก็ใช้ในวงการกีฬาเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ ให้เหล่านักกีฬาอุ่นใจก่อนลงสนาม หรือแม้แต่ในแวดวงละคร ก็มีการใช้มาสคอตเป็นตัวแทนของความโชคดี

เข้าสู่โลกธุรกิจ: แล้วใครเป็นหัวหอกที่นำมาสคอตมาใช้ในโลกธุรกิจกันนะ? คำตอบก็คือ "Bibendum" หรือ "Michelin Man" ของบริษัทยางรถยนต์ Michelin ตั้งแต่ปี 1898 โน่นเลย! ลองจินตนาการดูสิ ในยุคที่รถยนต์ยังเป็นของใหม่ การมีมาสคอตที่ดูน่าเชื่อถือ แข็งแรง ก็ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี จากนั้นก็เริ่มมี "Tony the Tiger" ของ Kellogg's หรือ "Ronald McDonald" ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ระดับโลก ซึ่งแต่ละตัวก็มีเรื่องราวและบุคลิกที่แตกต่างกันไป แต่มีจุดร่วมเดียวกันคือ สร้างการจดจำและดึงดูดใจผู้บริโภค

มาสคอตไทยก็มีประวัติไม่เบา: แล้วมาสคอตในบ้านเราล่ะ มีความเป็นมาอย่างไร? ลองมาดูกัน...

  • ยุคบุกเบิก (สัญลักษณ์ตัวแทน): ในยุคแรกๆ มาสคอตไทยมักถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงองค์กรโดยตรง อย่างเช่น "หนุ่มไปรษณีย์" ของไปรษณีย์ไทย ที่อยู่คู่คนไทยมานาน สื่อถึงองค์กรได้อย่างชัดเจน แม้ดีไซน์จะไม่ได้หวือหวา แต่ก็เป็นภาพจำที่ฝังรากลึก

  • ยุคสร้างภาพลักษณ์ (2011 เป็นต้นไป): กระแสการสร้างแบรนด์เริ่มมาแรง แบรนด์ไทยเริ่มตื่นตัว! จากแค่สัญลักษณ์ ก็มีการปรับดีไซน์ให้มีชีวิตชีวาขึ้น น่ารักขึ้น เข้าถึงง่ายขึ้น เช่น

    • "พี่ก้อน" Bar B Q Plaza: จากเดิมเป็นแค่หุ่นวางหน้าร้าน ปี 2554 ก็อัปเกรดเป็นคาแรกเตอร์มีชีวิตชีวา มีแคมเปญการตลาด ทำให้คนรู้จักและรักมากขึ้น กลายเป็นมังกรเขียวอ้วนกลมที่ใครๆ ก็อยากเข้าไปถ่ายรูปด้วย

    • "น้องอุ่นใจ" AIS: ปรับลุคมาหลายเวอร์ชันตั้งแต่เปิดตัว อยู่คู่กับแบรนด์มาอย่างยาวนาน สะท้อนถึงการปรับตัวของแบรนด์ที่ต้องตามให้ทันยุคสมัย

    • "ก็อดจิ" ปตท.: แปลงร่างจาก "ก็อตซิลล่า" ในโฆษณามาเป็นตัวการ์ตูนน่ารักๆ ที่ให้ข้อมูลได้แบบเป็นกันเอง ทำให้เรื่องพลังงานที่ดูยาก กลายเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย

  • จากสัญลักษณ์สู่เพื่อนคู่คิด: มาสคอตจึงวิวัฒนาการจากแค่สัญลักษณ์ กลายมาเป็นเพื่อนคู่คิดที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภคได้จริง สามารถโต้ตอบ ให้ข้อมูล และสร้างความบันเทิงได้


2. มาสคอตยุคนี้: เป็นมากกว่าแค่ตัวการ์ตูน แต่คือ Influencer!

ไม่ใช่แค่ยืนสวยๆ แต่ต้องมีชีวิตชีวาเหมือนคนจริง! มาสคอตยุคใหม่ไม่ใช่แค่ภาพกราฟิกที่สวยงาม แต่ต้องมีบุคลิก ความคิด ทัศนคติ และเป้าหมายที่ชัดเจน เหมือนมีชีวิตจริงๆ สามารถแสดงอารมณ์ ความรู้สึก และตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

สร้าง "แฟนด้อม" ได้เหมือนศิลปิน: มาสคอตยุคนี้ต้องมีช่องทางโซเชียลมีเดียเป็นของตัวเอง โพสต์รูปภาพ วิดีโอ แชร์เรื่องราว ตอบโต้กับแฟนๆ สร้าง "แฟนด้อม" ได้เหมือนศิลปิน K-POP เลยล่ะ! ทำให้เกิดความภักดีต่อแบรนด์สุดๆ ลองนึกภาพมาสคอตของคุณ Live สด ตอบคำถามแฟนๆ หรือทำ Challenge สนุกๆ บน TikTok สิ รับรองว่าปังแน่นอน

ปรากฏการณ์ "น้องหมีเนย" (Butterbear) ปี 2024: นี่แหละตัวอย่างสุดปังที่ทำห้างแตก! น้องหมีเนยไม่ใช่แค่ดังในไทย แต่ฮิตไปทั่วเอเชีย มีการแต่งกายและพร็อพที่ไม่ซ้ำกัน มีผลงานเพลง จัดงานแฟนมีตติ้ง แถมยังร่วมงานกับแบรนด์อื่นได้อีก เพราะความน่ารักเข้าถึงง่าย และมีชีวิตชีวานี่แหละ กลายเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ามาสคอตที่สร้างสรรค์และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอย่างจริงใจ สามารถสร้างกระแสและความสำเร็จได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ทฤษฎีความน่ารัก "Baby Schema": ทำไมเราถึงหลงรักมาสคอต? นักวิจัยเขาว่าไว้ว่าอะไรที่ตาโต หน้ากลม แก้มป่อง ทำให้มนุษย์รู้สึกอยากดูแลปกป้อง (เหมือนเห็นเด็กทารก) มาสคอตเลยเข้าถึงใจคนได้ง่าย สร้างความผูกพันทางอารมณ์ได้ดีสุดๆ การออกแบบมาสคอตโดยคำนึงถึงทฤษฎีนี้ จะช่วยให้มาสคอตของคุณเป็นที่รักและเอ็นดูของผู้คนได้ไม่ยาก

ทำไมแบรนด์ต้องมีมาสคอตในยุคนี้? ลองมาดูเหตุผลที่น่าสนใจเหล่านี้:

  • ดึงดูด & จดจำ: มาสคอตที่ออกแบบดีๆ ช่วยให้แบรนด์โดดเด่นและจำง่ายในตลาดที่แข่งขันสูง เปรียบเสมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดสายตาและสร้างความประทับใจแรกพบ

  • เล่าเรื่อง & สื่อสารคุณค่า: มาสคอตช่วยถ่ายทอดเรื่องราว ค่านิยม จุดยืนของแบรนด์ได้ง่ายและสนุก สร้างความเข้าใจและความรู้สึกร่วมกับผู้บริโภค

  • สร้างความใกล้ชิด & ผูกพัน: ทำให้แบรนด์ดูเป็นกันเอง เหมือนมีเพื่อน และเพิ่มการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและยั่งยืน

  • สร้างกระแส & กิจกรรม: มาสคอตสามารถสร้างสีสันในแคมเปญต่างๆ ให้กลายเป็นไวรัลได้ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงและสร้างการรับรู้ในวงกว้าง

  • แตกต่าง & โดดเด่น: สร้างเอกลักษณ์ให้แบรนด์ไม่ซ้ำใคร ไม่ต้องพึ่งอินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นคนเพียงอย่างเดียว สร้างความแตกต่างที่ยั่งยืนและเป็นของตัวเอง

แม้จะฮิต แต่ไทยยังต้องพัฒนา: แม้ว่ามาสคอตในไทยจะเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น แต่ก็ยังไม่แพร่หลายเท่าญี่ปุ่นหรือเกาหลี บางครั้งยังขาดการสร้างเรื่องราว (storytelling) ที่จะเชื่อมโยงมาสคอตเข้ากับผู้บริโภคอย่างเต็มประสิทธิภาพ เราจึงต้องเรียนรู้และพัฒนาต่อไป เพื่อให้มาสคอตไทยก้าวไกลสู่ระดับสากล


3. ดราม่าก็มา! เมื่อมาสคอตเจอเรื่องไม่น่ารักและคำถามลิขสิทธิ์

ดังแล้วมีคนแอบอ้าง: ใช่ว่ามาสคอตจะมีแต่ด้านน่ารักสดใสนะเออ! บางทีก็มีเรื่องดราม่าให้ปวดหัวได้เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์และการนำไปใช้ในทางที่ผิด

เคส "น้องหมีเนย" ที่ถูกคุกคาม: จำได้ไหมช่วงที่ "น้องหมีเนย" ดังสุดๆ ก็มีเพจเฟซบุ๊กหนึ่งเอาไปล้อเลียน ทำสินค้าล้อเลียนที่ไม่เหมาะสมแถมยังขายแพงหูฉี่! ทำให้เกิดคำถามเรื่องความเหมาะสม เพราะน้องหมีเนยถูกนำเสนอว่าเป็นเด็ก 3 ขวบ การกระทำแบบนี้เลยถูกมองว่าเป็นการคุกคาม แม้จะเป็นแค่มาสคอตก็ตาม สะท้อนถึงการขาดความเข้าใจและการให้เกียรติตัวละครและแบรนด์

ลิขสิทธิ์ก็น่าห่วง: เรื่องละเมิดลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาก็เป็นอีกเรื่องที่เจ้าของแบรนด์ต้องคิดหนักและปกป้องผลงานตัวเองอย่างจริงจัง

  • อย่างกรณีที่ตัวละครคล้าย "Butterbear" ไปโผล่ที่จีน ทำให้เกิดการเรียกร้องให้ปกป้องสิทธิ์

  • หรือการใช้มาสคอตต่างประเทศอย่าง "Sonic" โดยไม่ได้รับอนุญาตในประเทศไทย ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าการละเมิดยังคงเกิดขึ้นได้

บทเรียนสำคัญ: มาสคอตไม่ใช่แค่ตัวการ์ตูน แต่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีคุณค่าและต้องได้รับการปกป้อง และการใช้งานก็ต้องมีขอบเขตและสร้างสรรค์ ไม่ใช่แค่เน้นความน่ารักอย่างเดียว แต่ต้องวางแผนกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งด้วย


4. อนาคตมาสคอต: AI และ Metaverse จะปั้น “เพื่อนคู่คิด” ให้แบรนด์คุณล้ำไปอีกขั้น!

AI มาช่วยปั้นมาสคอตคู่ใจ: ยุคนี้ AI เก่งขึ้นเยอะ! Generative AI ด้านภาพ จะช่วยให้การออกแบบมาสคอต 2D, 3D จากแค่คำบรรยาย (Text Prompt) หรือรูป Moodboard ทำได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และประหยัดงบสุดๆ! แถมยังแปลงเป็นแอนิเมชันเคลื่อนไหวสำหรับ TikTok หรือ Reels ได้อีกด้วย! ลองจินตนาการถึงการสร้างมาสคอตที่ปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ เพียงแค่พิมพ์คำสั่งลงไป

มาสคอตในโลก Metaverse และ NFT: มาสคอตของเราสามารถไปโผล่ในโลกเสมือนจริง, ทำเป็น NFT (Non-Fungible Token) หรือ Fan Token เพื่อแลกของรางวัลกับแฟนๆ ก็ยังได้! AI ก็จะช่วยให้มาสคอตสื่อสารกับลูกค้าในโลกดิจิทัลได้แบบเนียนๆ สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ที่จับต้องได้ โลก Metaverse กำลังเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภค

เป็น Influencer ตัวจริงเสียงจริง (ของแบรนด์): มาสคอตจะไม่ได้เป็นแค่ตัวแทน แต่จะเป็น "อินฟลูเอนเซอร์" ที่มีแฟนคลับตัวเป็นๆ มีเรื่องราวชีวิตให้ติดตาม มีบุคลิกนิสัยที่ชัดเจน อัปเดตเทรนด์ตลอดเวลา สร้างคอนเทนต์ตามกระแสได้แบบเรียลไทม์ (Real-Time Marketing) การมีมาสคอตที่สามารถสร้างคอนเทนต์ได้เอง จะช่วยลดภาระและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาด

การตลาดแบบรู้ใจ (Personalized Marketing): ด้วยพลังของ AI มาสคอตจะช่วยให้แบรนด์สื่อสารแบบรู้ใจลูกค้ามากขึ้น นำเสนอสิ่งที่ตรงใจแต่ละคนได้แบบเฉพาะบุคคล แต่ก็ต้องระวังเรื่องข้อมูลส่วนตัวและความโปร่งใสในการใช้งานด้วยนะ การใช้ข้อมูลอย่างมีความรับผิดชอบ จะช่วยสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า

ยั่งยืนด้วยเรื่องราวที่จริงใจ: แบรนด์จะเน้นสร้างมาสคอตที่มีเรื่องราวที่จริงใจ (Authentic Storytelling) มีคุณค่า (Value-Based Marketing) ที่ลูกค้าสัมผัสได้ ไม่ใช่แค่ความน่ารักฉาบฉวย และจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดที่ครบวงจร ทั้ง Voice Search หรือ Social Commerce การสร้างเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับสังคมและสิ่งแวดล้อม จะช่วยให้แบรนด์มีความหมายและยั่งยืน


ตัวอย่างมาสคอตไทยในอนาคตที่ยังไปได้อีกไกล:

  • หมีเนย (Butterbear): จุดเริ่มต้นของการเป็น Influencer เต็มตัว

  • บาร์บีกอน (Bar B Q Plaza): มังกรเขียวผู้เล่าเรื่องราวของแบรนด์

  • น้องอุ่นใจ (AIS): มาสคอตผู้ปรับตัวเข้ากับทุกยุคทุกสมัย

  • ก็อดจิ (PTT): มังกรฟ้าที่มอบความรู้และความน่ารัก

  • แม่มณี (SCB): นางกวักดิจิทัล ที่ผสานความเชื่อเข้ากับเทคโนโลยี

  • พี่โก๋ (โก๋แก่): เด็กผู้ชายหัวฟูผู้เป็นภาพจำของขนมขบเคี้ยว

  • หนูด่วน (BTS): มาสคอตตัวแทนความรวดเร็วของการเดินทาง


สรุป: มาสคอตไม่ใช่แค่ตัวการ์ตูน แต่คือหัวใจที่ทำให้แบรนด์มีชีวิต!

มาสคอตคือเครื่องมือการตลาดที่ทรงพลัง ที่จะช่วยสร้าง Brand Identity และความสำเร็จทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน แต่การสร้างมาสคอตที่ดี ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมาจากความเข้าใจแบรนด์อย่างลึกซึ้ง กำหนดบุคลิกที่ชัดเจน มีเรื่องราวเบื้องหลังที่น่าสนใจ และสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้แบบต่อเนื่อง

ถ้าแบรนด์ไหนยังไม่มีมาสคอตเป็นของตัวเอง หรืออยากปัดฝุ่นให้มาสคอตเก่ากลับมาปังอีกครั้งล่ะก็… ห้ามพลาดเทรนด์นี้เด็ดขาด! เพราะมาสคอตที่ใช่ จะช่วยให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รักและจดจำไปอีกนาน


อยากได้มาสคอตคู่ใจมาสร้างแบรนด์ให้ปัง! ChatStick พร้อมช่วยคุณ!

สนใจบริการออกแบบมาสคอตองค์กร แบรนด์ งานอีเว้นท์ ออกแบบตัวการ์ตูนมืออาชีพ ทักเลย!

ทีมงาน ChatStick




ความคิดเห็น


CS_Redesign_คอนเทนต์เดิม2_2.png
CS_Redesign_คอนเทนต์เดิม3.png
Recent Posts
c24f0332fa3b87f8a304140403b893510_64100212_210625.jpg
244712625_300456528129611_2152723951836713111_n.jpg
5.png
4.png
Button Event สติกเกอร์.png
2.png
Button ChatStick Market.png
bottom of page